พุทธศาสนามหายานได้กำหนดจำนวนพระพุทธเจ้าไว้มากมาย โดยแบ่งออกเป็น 3 พระองค์หลัก ๆ คือ
1.พระอาทิพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าที่อุบัติขึ้นมาพร้อมกับโลกองค์แรกและประจำอยู่ชั่วนิรันดร เป็นพระพุทธเจ้าที่เกิดขึ้นมาเองก่อนสิ่งใดทั้งหมด ซึ่งไม่สามารถระบุเบื้องต้นและเบื้องปลายได้ เป็นผู้ให้กำเนิดพระมานุษิพุทธเจ้าและธยานิพุทธเจ้า รวมทั้งพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย และให้กำเนิดสรรพสิ่งต่างๆ ทั้งมวลที่มีอยู่ในสกลจักรวาลนี้ หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล ล้วนถือกำเนิดมาจากองค์พระอาทิพุทธเจ้าทั้งสิ้น
พระอรรถกถาจารย์ได้สร้างพระอาทิพุทธเจ้าขึ้นมาเพื่อให้แบ่งภาคลงมาปรากฏเป็นพระพุทธเจ้า ทั้งนี้ หลักการพื้นฐานของพุทธศาสนามหายานคือ เป็นแนวคิดที่ต่อสู้กับพระพรหมของฮินดู (ประทับบนพรหมโลกชั้นอกนิฏฐ์ มีสถานะเสมอปรมาตมันในศาสนาฮินดู) เริ่มปรากฏการนับถือเป็นครั้งแรกในประเทศเนปาล คือ นิกายที่เรียกว่า ไอศวาริกนิกาย ขณะที่ในนิกายตันตระ หรือลัทธิลามะ เรียกพระอาทิพุทธเจ้าว่า พระธรรมกายสมันตภัทร โดยมีพระธรรมที่ทรงแสดงคู่เคียงกันเรียกว่า อาทิธรรม หรืออธิปรัชญา
2.พระธยานิพุทธเจ้า เป็นอวตารของพระอาทิพุทธเจ้า หรือเกิดขึ้นมาจากอำนาจแห่งฌานของพระอาทิพุทธะ เพื่อปกครองดินแดนที่มีอยู่มากมายเหมือนทรายในแม่น้ำที่เรียกว่าพุทธเกษตร ในแต่ละพุทธเกษตรจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคอยทำหน้าที่โปรดเวไนยสัตว์อยู่หนึ่งพระองค์ สภาวะของแต่ละพุทธเกษตรอาจจะมีความแตกต่างกันไปตามความเหมาะสมของการโปรดสัตว์ในพุทธเกษตรนั้นๆ
ตามทัศนะของพุทธศาสนามหายาน พระธยานิพุทธเจ้า มีจำนวน 5 พระองค์ คือ
1.พระไวโรจนพุทธเจ้า แปลว่า พระพุทธเจ้า ผู้รุ่งเรือง เป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกที่เกิดมาจากพระอาทิพุทธเจ้า พระกายสีขาว ท่าทางประจำตัว (มุทรา) อยู่ในท่าแสดงธรรม (ธรรมจักรมุทรา) สัญลักษณ์ประจำตัวคือธรรมจักร พาหนะคือสิงโตสีขาว ทิศที่สถิตคือตรงกลาง
2.พระอักโษภยพุทธเจ้า แปลว่า พระพุทธเจ้าผู้ไม่หวั่นไหว เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 2 ประทับอยู่ ณ ดินแดนพุทธเกษตรที่มีชื่อว่าอภิรดี ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก พระกายสีน้ำเงินเข้มหรือคล้ำ ท่าทางประจำตัวอยู่ในท่าพระหัตถ์ขวาเหยียดออก พระดัชนีชี้ลงธรณี เหมือนการอ้างเอาธรณีเป็นพยาน (ภูมิสปรศมุทรา) สัญลักษณ์ประจำตัวคือวัชระหรือคทา เพชรกับระฆังหรือกระดิ่ง พาหนะคือช้าง ทิศที่สถิตคือทิศตะวันออก
3.พระรัตนสัมภวพุทธเจ้า แปลว่า พระพุทธเจ้าผู้มีกำเนิด ที่ประเสริฐ เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 3 พระกายสีเหลืองทอง ท่าประตัวตัวคือท่าประทานสิ่งของ (ทานมุทรา) สัญลักษณ์ประจำตัวคือจินดามณี พาหนะคือม้าบิน ทิศที่สถิตคือทิศใต้
4.พระอมิตาภพุทธเจ้า แปลว่า พระผู้มีรัศมีหาที่สุดมิได้ เป็นพระธยานิพุทธเจ้าองค์ที่ 4 อยู่ในอิริยาบถท่าเข้าฌาน พระกายสีแดงหม่น ท่าประจำตัวคือท่าการนั่งเข้าฌาน สัญลักษณ์ประจำตัวคือดอกบัวแดง พาหนะคือนกยูง ทิศที่สถิตคือทิศตะวันตก
และ 5.พระอโมฆสิทธิ แปลว่า พระพุทธเจ้าผู้คงไว้ซึ่งความสำเร็จไม่ตกหล่น หรือผู้บันดาลความสำเร็จทุกเมื่อให้แก่สรรพสัตว์ พระกายสีเขียวประกาย ท่าทางประจำตัวคือท่าที่แสดงอาการปกป้องและคุ้มครองจิตจากภัยอันตราย (อภยมุทรา) สัญลักษณ์ประจำตัวคือวิศววัชะ (คทาแฝด) พาหนะคือครุฑ ทิศที่สถิตคือทิศเหนือ
พระธยานิพุทธเจ้ามีอำนาจฌานเช่นเดียวกับพระอาทิพุทธเจ้า สามารถทำให้เกิดพระธยานิโพธิสัตว์ได้ 5 องค์ เช่นเดียวกัน ได้แก่ พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ พระวัชรปาณีโพธิสัตว์ พระรัตนปาณีโพธิสัตว์ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ และพระวิศวปาณีโพธิสัตว์
3.พระมานุษิพุทธเจ้า เป็นผู้ถือกำเนิดมาจากพระอาทิพุทธเจ้า โดยแสดงตนออกมาในรูปของมนุษย์ธรรมดา และอุบัติขึ้นมาในโลกมนุษย์ ทั้งนี้เพื่อเป็นอุบายแห่งการสอนสรรพสัตว์ทั้งหลายให้เร่งปฏิบัติธรรมด้วยความไม่ประมาท พระมานุษิพุทธเจ้ามีจำนวน 5 พระองค์ คือ
1.พระทีปังกรพุทธเจ้า แปลว่า พระผู้ประทานแสงสว่าง อยู่ในปางประทานพรสีเหลือง มีประวัติว่า พระทีปังกรพุทธเจ้าประสูติในตระกูลกษัตริย์ พระกุมารทรงเกษมสำราญอยู่ 10,000 ปี วันหนึ่งเสด็จประพาสอุทยาน ทอดพระเนตรเห็นเทวทูตทั้งสี่ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ พระองค์จึงมีพระทัยน้อมไปทางบรรพชา
เสด็จออกบรรพชาในราชอุทยานนั้นด้วยคชยาน 84,000 เชือก มีผู้ออกบรรพชาตามจำนวนโกฏิหนึ่ง หลังจากทรงบำเพ็ญความเพียรอยู่เป็นเวลา 10 เดือน ในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ พระองค์นำบริษัทเข้าไปบิณฑบาตข้าวปายาสในนคร ตอนเย็นทรงปลีกจากคณะ ทรงรับหญ้า 8 กำ จากอาชีวกชื่อ อานันทะ และนำมาปูลาดเป็นโพธิบัลลังก์ใต้ต้นเลียบ (ต้นมะกอก) ปราบพระยามารกับพลมารนับอสงไขย และได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในคืนนั้น พระทีปังกรพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาแก่พระภิกษุผู้บรรพชาตามจำนวนโกฏิหนึ่ง ที่สุนันทาราม ทำให้พระภิกษุโกฏิหนึ่งนั้นสำเร็จเป็นพระอริยบุคคล
2.พระกัสสปพุทธเจ้า ตามทัศนะของนิกายมหายาน ในยุคของพระกัสสปพุทธเจ้ามนุษย์มีอายุยืนถึง 20,000 ปี พระโคตมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เป็นศิษย์ของพระองค์ เมื่อพระกัสสปพุทธเจ้าสิ้นพระชนม์แล้ว พระบรมศพถูกฝังไว้ที่ภูเขากุกกุฏปาฐะในภาคเหนือของชมพูทวีป ใกล้พุทธคยา ยังไม่ถวายพระเพลิงจนกว่าพระเมตรไตรย์พุทธเจ้าจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 4
โดยพระองค์จะเสด็จไปยังสถานที่ฝังพระบรมศพของพระกัสสปพุทธเจ้า ณ ที่นั้นพระแท่นบรรจุพระบรมศพจะแยกออกจากกัน พระกัสสปพุทธเจ้าจะเสด็จลุกขึ้นมาประทานผ้ากาสาวพัสตร์แก่พระเมตรไตรย์พุทธเจ้า ครั้นแล้วจะมีไฟทิพย์ลุกโพลงขึ้นเผาร่างของพระกัสสปพุทธเจ้า และพระองค์จะเสด็จเข้าสู่นิพพานในเวลานั้น ตามพุทธศิลป์แบบมหายาน นิยมสร้างพระรูปของพระกัสสปพุทธเจ้าให้ทรงสิงโตและครองผ้ากาสาวพัสตร์
3.พระโคตมพุทธเจ้า ตามทัศนะของฝ่ายมหายาน เมื่อพระองค์เสด็จอุบัติขึ้นในโลก ในขณะที่ทรงพระเยาว์จะประทับยืนชี้พระหัตถ์ขวาขึ้นฟ้าและชี้พระหัตถ์ซ้ายลงข้างล่าง แล้วตรัสพระดำรัสว่า “ครั้งนี้เป็นชาติสุดท้ายของเราแล้ว”พระรูปของพระองค์จะอยู่ในลักษณะการทรมานตนเอง มีพระวรกายซูบผอม
ส่วนการปรินิพพานจะอยู่ในลักษณะประทับแบบสีหไสยาสน์ พระหัตถ์ขวารองพระเศียร มีพระสาวก 2 รูปนั่งเฝ้าพระบรมศพ ซึ่งได้แก่พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ แต่ฝ่าย เถรวาทกล่าวว่า พระสาวกทั้ง 2 คือ พระอนุรุทธะและพระอานนท์
4.พระเมตไตรยพุทธเจ้า ทรงมีพระวรกายสีเหลือง มีสายมาลาขาวเหลืองคาดบนพระเศียรมีรูปลักษณ์คล้ายสถูป เครื่องหมายประจำพระองค์คือวรจักร
ตามทัศนะของฝ่ายมหายาน พระเมตไตรยพุทธเจ้า จะเสด็จมาอุบัติขึ้นในโลกในช่วงระยะเวลาที่พระสัจธรรมกำลังได้รับการปฏิรูป กล่าวคือ มีการตีความกันมากขึ้น (ระหว่าง พ.ศ. 500-1,000 ปี) เพื่อตรัสรู้และประกาศพุทธธรรมแก่มวลมนุษย์ตามที่พระโคตมพุทธเจ้าได้ทรงมอบหมายให้ปฏิบัติศาสนกิจแทนพระองค์
5.พระไภสัชชคุรุพุทธเจ้า แปลว่า ยาวิเศษ โดยมีความเชื่อว่า พระพุทธเจ้าองค์นี้เป็นแพทย์ที่รักษาโรคและประทานยาแก่สรรพสัตว์เพื่อให้หายจากโรค สรรพสัตว์ที่ศรัทธาในพระองค์เพียงแค่สัมผัสพระพุทธรูปของพระพุทธเจ้าองค์นี้เท่านั้นก็จะหายจากโรคต่าง ๆ ได้