แปดเซียน 八仙 คือ เซียนแปดองค์ ตามความเชื่อในลัทธิเต๋าของจีน เป็นเทพเจ้าที่ชาวจีนนับถือมาช้านาน ประกอบด้วย
จงหลีเฉวียน 钟离权 หรือ ฮั่นจงหลี หั่งเจ็งลี้ 汉钟离
ผู้นำหรือหัวหน้าของเซียนทั้งแปด เรียกว่า เจิ้งหยางจู่ซือ 正阳祖师 ลักษณะของจงหลีเฉวียนจะเป็นชายร่างอ้วนใจดี ไว้ผมมวยสองข้างศรีษะ เปิดเสื้อเปลือยหน้าท้องอันอ้วนพลุ้ย มือถือพัดใบกล้วยขนาดใหญ่
ตามตำนานเล่าว่า เซียนฮั่นจงหลี เดิมมีชื่อว่า เซี่ยจงหลี 夏钟离 ฉายา เจิ้งหยางจื่อ正阳子 เกิดในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก หรือตงฮั่น โดยที่ผู้คนทั่วไปมักเรียกท่านว่า ฮั่นจงหลี ซึ่งหมายถึง จงหลี แห่งราชวงศ์ฮั่น นั่นเอง
เซี่ยจงหลี เป็นบุตรชายของแม่ทัพจงหลีจัง ว่ากันว่า ในวันที่ท่านคลอดมามีแสงสว่างเจิดจ้าไปทั่วกองทัพ สร้างความโกลาหลไปทั่วเพราะคิดว่าไฟไหม้ในค่ายทหาร แต่พอตามแสงสว่างไปก็ปรากฎว่าเป็นฮูหยินของท่านแม่ทัพคลอดบุตรชาย ต่อมา เมื่อเติบใหญ่ ท่านได้ดำรงตำแหน่งแม่ทัพเอกแห่งราชวงศ์ฮั่น และได้ออกศึกแทนบิดา
ต่อมา ท่านได้ค้นพบหินวิเศษ หลังแปรธาตุทลายนภาสำเร็จ จึงบรรลุกลายเป็นเซียน ส่วนบางตำนานก็เล่าว่า เมื่อกองทัพฮั่นแตกพ่าย ท่านได้หลบลี้ภัยไปในหุบเขาเปลี่ยวร้างและได้พบกับเซียนหลี่เถี่ยไขว้ ผู้เป็นหนึ่งในแปดเซียน ซึ่งท่านได้ช่วยถ่ายทอดเคล็ด บำเพ็ญเพียร ให้แก่จงหลีเฉวียน ต่อมาท่านจึงสำเร็จมรรคผลบรรลุกลายเป็นเซียน
สำหรับของวิเศษประจำตัวของจงหลีเฉวียนนั้น คือ พัดฟื้นวิญญาณ 还魂扇 ลักษณะของพัดจะมีขอบใบโค้งสองด้าน เรียกพัดแบบนี้ว่า พัดใบกล้วย อิทธิฤทธิ์ของพัดนี้ สามารถพัดคนตายให้ฟื้นคืนชีพได้
หลี่เถียไกว่ เถียไกว่หลี่
คำว่า เถียไกว่ เป็นฉายานาม แปลว่า ไม้เท้าเหล็ก มาจากลักษณะของเซียนผู้นี้ ที่มีขาข้างหนึ่งพิการและใช้ไม้เท้าเหล็กคอยค้ำพยุงเวลาเดิน
ตำนานเรื่องเล่าของหลี่เถียไกว่ มีความแตกต่างกันอยู่มากมายหลายฉบับด้วยกัน บ้างว่าท่านเป็นคนในสมัยราชวงศ์สุย มีนามเดิมว่า หลี่หงสุ่ย 李洪水 บ้างก็ว่า ท่านเกิดในสมัยราชวงศ์ถังมีนามเดิมว่า หลี่เสวียน 李玄 รวมทั้งตำนานที่ว่าท่านน่าจะเกิดในยุคชุนชิวหรือราชวงศ์โจวตะวันตก และเป็นศิษย์เอกของปรมาจารย์เล่าจื๊อ แห่งลัทธิเต๋า ในนิทานชาวบ้านยังเล่าขานว่า หลี่เถียไกว่นั้นคือผู้นำหรือหัวหน้าของโป๊ยเซียน ไม่ใช่จงหลีเฉวียน
แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ทุกตำนานกล่าวไว้ตรงกันก็คือ หลี่เถียไกว่ นั้นเดิมทีเป็นบุรุษหนุ่มรูปงามและมีใบหน้าอันหล่อเหลา เขามีความเลื่อมใสในเต๋าจึงได้ครองตัวอยู่เป็นโสด อีกทั้งยังไม่ยึดติดกับลาภยศชื่อเสียงใด ๆ ต่อมา ได้มุ่งแสวงหาทางบรรลุมรรคผลด้วยการออกไปบำเพ็ญเพียรในถ้ำลึกกลางป่าที่จงหนานซาน จนกระทั่งบรรลุกลายเป็นเซียน สามารถถอดจิตออกจากร่างและใช้กายทิพย์ล่องลอยไปไหนต่อไหนได้ทุกหนแห่ง
มีอยู่วันหนึ่ง ท่านได้นัดพบกับเล่าจื๊อผู้เป็นอาจารย์ที่เขาหัวซานซึ่งอยู่ห่างไกลจากที่ที่ท่านอยู่นับพันลี้ ดังนั้น หลี่เถียไกว่จึงได้ถอดกายทิพย์ออกจากร่างและฝากศิษย์ให้คอยดูแลเฝ้าร่างของท่าน และสั่งไว้ว่า หากภายใน 7 วันยังไม่หวนกลับมา ก็ให้เผาร่างนี้เสีย
ปรากฏว่า บังเอิญในวันที่ 6 มารดาของศิษย์ผู้นี้ป่วยหนักจึงได้ส่งข่าวมาตามตัวศิษย์ผู้นี้กลับบ้าน ศิษย์ของท่านจึงเผาร่างของหลี่เถียไกว่ไปในวันนั้นเอง
ครั้นเมื่อถึงวันที่ 7 หลี่เถียไกว่ได้กลับมาถึง ก็พบว่าร่างได้กลายเป็นผงธุลีไปเสียแล้ว แต่ท่านก็มิได้แค้นเคืองศิษย์ใด ๆ ว่ากันว่า หลี่เถียไกว่ได้ไปเข้าร่างของขอทานขาพิการที่เพิ่งเสียชีวิตลง นี่เองจึงเป็นเหตุให้ร่างใหม่ของหลี่เถียไกว่กลายเป็นชายอัปลักษณ์ ขาเป๋ ศรีษะล้าน และต้องคอยใช้ไม้เท้าเหล็กคอยค้ำพยุงร่างตลอดเวลา
นี่จึงเป็นที่มาของนามของท่าน ที่ชื่อ ว่า หลี่เถี่ยไขว้ หรือ หลี่ไม้เท่าเหล็ก
“หลี่ว์ต้งปิน” หรือ “ลื่อตั่งปิง” (吕洞宾)
เต๋าเทิดทูนท่านเป็น ฉุนหยางจู่ซือ 纯阳祖师มีเรื่องเล่ากันว่า หลี่จู่ จัดเป็นเซียนที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุด เป็นที่รู้จักของชาวบ้านมากที่สุด มีตำนานเรื่องราวเกี่ยวกับหลี่ว์ต้งปินมากกว่าเซียนองค์อื่น ๆ
เป็นเซียนที่มีบุคลิกสำอางและกรุ้มกริ่ม ตลอดจนยังมีความองอาจห้าวหาญจนเป็นที่เลื่องลือ ในยามปกติจะสะพายกระบี่ไว้กลางหลัง และออกท่องเที่ยวไปทั่ว
ตามตำนานเล่าขานกันว่า หลี่ว์ต้งปิน เกิดในสมัยราชวงศ์ถัง มีชื่อเดิมว่า หลี่ว์เอี๋ยน 吕岩 บ้างก็ว่าเดิมท่านแซ่หลี่(李) แต่เมื่อตอนสมัยพระนางบูเช็คเทียนขึ้นครองราชย์ หลี่ว์ต้งปิน จึงได้หลบลี้หนีภัยทางการเมือง และได้เปลี่ยนแซ่เป็นแซ่หลี่ว์ 吕 ที่มีเสียงคล้ายคลึงกัน
มีเรื่องเล่ากันอีกว่า หลี่ว์ต้งปินเคยไปสอบเพื่อรับราชการในตำแหน่งจิ้นซื่อ(进士) แต่สอบตก สร้างความเสียอกเสียใจให้แก่ท่านเป็นอย่างมาก จึงได้ออกเดินทางร่อนเร่พเนจรไปเรื่อย ๆ และได้มาพานพบกับจงหลีเฉวียน (หั่งเจ็งลี้) จึงได้ปรับทุกข์ให้ฟังถึงความอาภัพโชค จงหลีเฉวียน ได้ยินได้ฟังก็ไม่ว่ากระไรและได้ต้มข้าวหวงเหลียง พร้อมทั้งส่งหมอนให้แก่หลี่ว์ต้งปิน นอนหลับพักผ่อนเสียก่อน
ในระหว่างห้วงแห่งความฝันนั้นเอง หลี่ว์ต้งปินได้หลับฝันเห็นตนเองประสบความสำเร็จสามารถสอบได้เป็นจิ้นซื่อสมปรารถนา และเรื่องราวต่าง ๆ ในความฝันก็ต่อเนื่องกันมา สอบรับราชการได้สำเร็จ – มีชีวิตที่รุ่งเรือง – มีหน้าที่การงานที่มั่นคง – แต่งงาน มีครอบครัว – ถูกปรักปรำให้ร้าย – ถูกปลดจากตำแหน่ง – ต้องโทษจำคุก – สุดท้ายบ้านแตกสาแหรกขาด
ทันใดนั้นเอง หลี่ว์ต้งปินก็สะดุ้งตื่นขึ้น พบว่า ข้าวหวงเหลียงยังไม่ทันสุกดีเลย จงหลีเฉวียน หัวร่อ พร้อมกับทักทาย
ในความฝันเหล่านั้น ทำให้หลี่ว์ต้งปินบังเกิดความสะทกสะท้อนใจและปลงกับสัจธรรมแห่งชีวิตจึงได้กราบจงหลีเฉวียนอาจารย์ และพากันไปบำเพ็ญเพียรภาวนาที่เขาหนานซานจนกระทั้งสามารถบรรลุมรรคผลกลายเป็นเซียนในที่สุด
หันเซียงจื่อ หรือ ฮั่งเซียงจื้อ 韩湘子
เดิมมีนามว่า หานเซียง 韩湘 ชื่อรอง หานชิงฟู 韩清夫 มีชีวิตอยู่ในช่วงราชวงศ์ถัง โดยเป็นหลานชายของหานอวี้ 韩愈 ปราชญ์แห่งราชวงศ์ถัง โดยเล่ากันว่า หานเซียงจื่อ มีความสนใจศึกษาเต๋ามาตั้งแต่ยังเด็ก ท่านศึกษาเต๋าอย่างจริงจัง ถึงขนาดว่า แม้หานอวี้ ผู้เป็นลุง เข้ามาทักทายด้านหลัง ก็ยังไม่รู้สึกตัว ทำให้ลุงของท่านไม่พอใจมาก แต่ 7 วันให้หลัง หันเซียงจื่อสามารถ ทำให้ดอกโบตั๋นบานสะพรั่ง และยังเปลี่ยนสีได้ดังใจนึก อีกทั้งในกลีบดอกแต่ละใบยังสลักอักษรเอาไว้อีกด้วย
ต่อมา หันเซียงจื่อไม่ประสงค์จะรับราชการ จึงได้ฝากตัวเป็นศิษย์กับอาจารย์หลี่ว์ฉุนหยาง (吕纯阳) และติดตามเล่าเรียนลัทธิเต๋ากับอาจารย์เรื่อยมา ครั้นเติบใหญ่ได้มีโอกาสพบพานหลี่ว์ต้งปิน (吕洞宾) และได้กราบท่านเป็นอาจารย์และฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างจริงจัง จนกระทั่งสำเร็จมรรคผล กลายเป็นเซียนในเวลาต่อมา
บุคลิกลักษณะของหันเซียงจื่อ เป็นบุรุษหนุ่มรูปงาม มีความสามารถพิเศษด้านดนตรี โดยเฉพาะ “ขลุ่ย” มีเรื่องเล่ากันว่า ความไพเราะจากดนตรีในเสียงขลุ่ยของหันเซียงจื่อดังขึ้นคราใด ครานั้นก็จะมีฝูงนกบินเวียนว่อนมาล้อมรอบตัวเขาอยู่เสมอ นอกจากนี้ เสียงขลุ่ยของหันเซียงจื่อยังมีอำนาจวิเศษ สามารถทำให้ต้นไม้เจริญเติบโตงอกงามและดอกไม้ผลิบานสะพรั่งได้ตามใจต้องการ ดังนั้น ภาพลักษณ์ของหันเซียงจื่อ ในงานศิลปะทั่วไป จะปรากฏในลักษณะของบุรุษรูปงามผู้มีเสียงขลุ่ยอันไพเราะ จนสามารถสะกดวิญญาณผู้ฟังเคลิบเคลิ้มหลงใหลได้ดุจดั่งใจปรารถนา
“เฉากั๋วจิ้ว” หรือ “เชาก๊กกู๋” (曹国舅)
คำว่า “กั๋วจิ้ว(ก๊กกู๋)” เป็นตำแหน่งบรรดาศักดิ์หมายถึง “พี่ชายของพระมเหสี” จริง ๆ แล้วท่านมีชื่อเดิมว่า “เฉาอี้” (曹佾) หรือ “เฉากงป๋อ” (曹公伯) บ้างก็ว่าชื่อ “เฉาจิ่งซิว” (曹景休) ทั้งนี้ตามบันทึกกล่าวว่า เฉาอี้ (เฉากั๋วจิ้ว) เป็นบุตรชายของแม่ทัพเฉาปิน ต่อมา น้องสาวของท่านได้ถวายตัวเข้าวังและกลายมาเป็นพระมเหสีของฮ่องเต้ซ่งเหรินจงแห่งราชวงศ์ซ่ง ท่านจึงมีฐานะเป็น “กว๋อจิ้ว(ก๊กกู๋)” หรือพี่ชายของพระมเหสี
บุคลิกลักษณะของเฉากั๋วจิ้วจะเป็นภาพลักษณ์ของชายกลางคนผู้สวมชุดขุนนาง มือข้างหนึ่งจะถือของวิเศษคือ ป้ายหยก(玉板) หรือที่เรียกว่า “อินหยางป่าน” (阴阳板) มีลักษณะเหมือนแผ่นป้ายคู่ เป็นป้ายเซียนที่สามารถสะท้อนเสียงดังทุกๆ สรรพสิ่งในธรรมชาติ
นิสัยใจคอของเฉาอี้ (เฉากั๋วจิ้ว) เป็นผู้มีความเที่ยงตรงและยุติธรรม อีกทั้งยังมีความสมถะ ไม่ยึดติดหลงใหลต่อลาภยศชื่อเสียง ความรอบรู้ของท่านจึงเป็นผู้ที่มีความรอบรู้ในทุกสรรพสิ่ง มีนสนิยมทางดนตรี บทกวี และการละคร
มีเรื่องเล่าขานกันว่า เพราะเหตุที่ครอบครัวท่านเป้นพระประยูรญาติกับองค์ฮ่องเต้นี้เอง ที่ทำให้น้องชายของท่านถืออำนาจบาตรใหญ่ก่อกรรมทำชั่ว ภายหลังจึงถูกเปาเจิ่น (เปาบุ้นจิ้น) พิพากษาตัดสินประหารชีวิต ตัวของเฉาอี้ (เฉากั๋วจิ้ว) เกิดความละอายใจต่อเรื่องที่เกิดขึ้นในครอบครัว ท่านจึงละทิ้งยศถาบรรดาศักดิ์ แล้วออกเดินทางเพื่อแสวงหาทางบำเพ็ญเพียร จนกระทั้งได้พบกับจงหลีเฉวียน (ฮั่งเจ็งลี้) และหลี่ว์ต้งปิน(ลื่อตั่งปิง)
เหตุการณ์การพบกันระหว่างเฉากั๋วจิ้วกับจงหลีเฉวียนและหลี่ว์ต้งปิน เล่ากันว่า หลี่ว์ต้งปินถามว่า “ได้ยินมาว่าท่านจะมุ่งบำเพ็ญเพียรเพื่อบรรลุมรรคผล อันว่ามรรคผลนั้นอยู่ที่ใด?”
เฉากั๋วจิ้วชี้นิ้วขึ้นบนฟ้า
หลี่ว์ต้งปินก็ถามอีกว่า “แล้วฟ้านั้นเล่าอยู่ที่ใด?” เฉากั๋วจิ้วชี้นิ้วไปที่หัวใจ
ทำให้ทั้งสองเซียนคือจงหลีเฉวียนและหลี่ว์ต้งปินหัวร่อชอบใจ และกล่าวว่า “ใจคือฟ้า ฟ้าคือใจ นับว่าบัดนี้ท่านค้นพบตัวเองแล้ว” จากนั้น จึงได้รับเฉากั๋วจิ้วเป็นศิษย์และถ่ายทอดวิธีบำเพ็ญเพียรให้ จนกระทั้งเฉากั๋วจิ้วบรรลุมรรคผลแห่งเต๋าสำเร็จกลายเป็นเซียนเมื่ออายุได้ 72 ปี
“จางกั๋วเหล่า” หรือ “เตียก้วยเล่า” (张果老)
นับเป็นเซียนที่อาวุโสที่สุดในกลุ่มเซียนทั้งแปด มีนามเดิมว่า “จางกั่ว” (张果) แต่เนื่องจากเป็นผู้เฒ่าที่อาวุโสที่สุดในแปดเซียน ชาวบ้านจึงเพิ่มคำว่า “เหล่า”(老) ซึ่งหมายถึง “ชรา” เติมท้ายลงไป กลายเป็น “จางกั๋วเหล่า”
บุคลิกลักษณะของจางกั๋วเหล่า นอกจากเป็นนักพรตเฒ่าชราผมขาว หนวดเคราขาวโพลนแล้ว ยังมีลาคู่ใจซึ่งเป็นลาประหลาดที่มีลักษณะพิเศษคือ แม้มันเดินไปข้างหน้าแต่หันศีรษะไปข้างหลังตลอดเวลา ลาตัวนี้เชื่อกันว่าเป็นลาวิเศษ เพระเมื่อไม่ใช้ก็จะสามารถกลายร่างพับเก็บเป็นกระดาษได้ หากจะเรียกใช้ ก็ใช้น้ำพ่นใส่ กระดาษก็จะคืนร่างเป็นลาดังเดิม
ในตำนานเกี่ยวกับจางกั๋วเหล่ากล่าวว่า เป็นบุคคลในราชวงศ์ถัง ท่านได้จำศีลบำเพ็ญเพียรที่ภูเขาจงเถียวซานจนบรรลุกลายเป็นเซียน ในบันทึกถังซูได้กล่าวว่า พระนางบูเช็กเทียนทรงรับรู้กิตติศัพท์ของจางกั๋วเหล่าจึงรับสั่งเชิญท่านเข้าวังแต่ถูกปฏิเสธ
ต่อมา ในรัชสมัยถังเสวียนจงฮ่องเต้ได้เชิญท่านอีกครั้ง จางกั๋วเหล่า จึงแสร้งทำเป็นตาย แต่พระองค์ก็ยังทรงเชิญมาอีกเป็นครั้งที่ 2 จางกั๋วเหล่าจึงได้ตกปากรับคำเข้าวัง และได้สำแดงปาฏิหาริย์จนสร้างความพิศวงให้แก่พระองค์เป็นที่ยิ่ง
ส่วนอีกตำนานหนึ่งในบันทึก “ไท้ผิงกว่างจี้”(太平广记) เล่าว่า ถังเสวียนจงฮ่องเต้ทรงตรัสถามจิตรกรวังหลวงชื่อ เย้ฝ่าซ่าน (叶法善) ถึงที่มาของจางกั๋วเหล่าแต่ เย้ฝ่าซ่าน ตอบด้วยความเกรงกลัวว่า “กระหม่อมไม่กล้าตอบ หากพูดไปจะถึงแก่ความตาย”ครั้นเมื่อถูกรุกเร้าจากฮ่องเต้จึงได้พูดไปว่า “จางกั๋วเหล่านั้นร่างเดิมก็คือค้างคาวขาวที่บำเพ็ญเพียรจนสำเร็จเป็นเซียน” พอพูดจบ เย้ฝ่าซ่าน ก็สิ้นใจตายทันที
ต่อมาถังเสวียนจงฮ่องเต้จึงได้ตรัสทูลขอเมตตาต่อจางกั๋วเหล่า ท่านจึงให้อภัยและชุบชีวิต เย้ฝ่าซ่าน คืนมาอีกครั้ง
เหอเซียนกู” หรือ “ฮ้อเซียนโกว” (何仙姑)
เซียนหญิงเพียงคนเดียวในโป๊ยเซียน ลักษณะบุคลิกของเหอเซียนกูจะเป็นหญิงสาวผู้งดงามสุภาพเรียบร้อย นุ่มนวล และเปี่ยมไปด้วยเมตตากรุณา โดยเฉพาะความกตัญญูจะเป็นเรื่องที่เล่าขานกันมากที่สุด
ภาพที่คุ้นตาเกี่ยวกับเหอเซียนกู จะเป็นเสมือนดั่งนางฟ้าที่ล่องลอยบนปุยเมฆ บนมือของนางจะถือ “ดอกบัววิเศษ” อยู่เคียงข้าง (บางภาพจะมีแส้ปัดยาวอยู่ในมืออีกข้างหนึ่ง)
ตำนานเรื่องราวเกี่ยวกับเหอเซียนกูมีอยู่หลายตำนานด้วยกัน บ้างกล่าวว่า เหอเซียนกู มีชีวิตอยู่ในสมัยต้นราชวงศ์ซ่ง(ซ้อง) มีชื่อเดิมว่า “เหอเอ้อเหนียง” (何二娘) มีอาชีพเย็บปักรองเท้าผ้าและเก็บผลไม้เพื่อมาจุนเจือเลี้ยงมารดาผู้ชรา แม้ว่าในแต่ละวันต้องเดินทางไปเป็นระยะทางไกลนับร้อยลี้ วันหนึ่ง ขณะที่เหอเอ้อเหนียงเดินทางไปที่วัดหลัวฝูซาน (罗浮山寺) ซึ่งมีระยะทางกว่า 400 ลี้ ได้พบกับนางฟ้าผู้เมตตาซึ่งได้ประทานผลไม้วิเศษให้แก่นาง และเมื่อนางทานลงไปก็บังเกิดปาฏิหาริย์จนสามารถบรรลุกลายเป็นเซียนในทันที
อีกตำนานเล่าว่า เหอเซียนกูเกิดในสมัยราชวงศ์ถัง มีชื่อจริงว่า “เหอฉวน” (何琼) เป็นชาวเมืองหย่งโจว เมื่ออายุ 13 ปี ได้ขึ้นเขาเก็บสมุนไพรและได้พบกับหลี่ว์ต้งปิน (ลื่อตั่งปิง) ซึ่งมอบลูกท้อให้แก่นางพร้อมบอกว่า “หากปรารถนาเป็นอมตะ เจ้าจงกินลงไป”กล่าวกันว่า หลังจากเหอเซียนกู ทานลงไปแล้ว ก็ไม่รู้สึกหิวกระหายใด ๆอีกต่อไป ร่างกายก็เบาดั่งปุยนุ่น แต่เนื่องจากนางเป็นหญิงกตัญญู จึงไม่อาจทอดทิ้งมารดาผู้ชราได้ แม้ว่าตนเองจะกลายเป็นเซียน แต่ทุก ๆ เช้า เหอเซียนกู จะคอยปรนนิบัติรับใช้มารดาอยู่เป็นประจำไม่เคยขาด เมื่อข่าวเรื่องนี้ล่วงรู้ถึงพระกรรณของพระนางบูเช็กเทียน จึงได้ให้ทหารมาเชิญนางเข้าเฝ้า แต่เล่ากันว่าในระหว่างทางนั้นเองเหอเซียนกูก็ได้เหาะบินขึ้นสู่ฟากฟ้าโดยไร้ร่องรอยอีกต่อไป
“หลันไฉ่เหอ” หรือ “น้าไช่ฮั้ว”(蓝采和)
เป็นเซียนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมีอุปนิสัยตลอดจนพฤติกรรมแปลก ๆ คือ จะสวมใส่เสื้อผ้าขาดกะรุ่งกะริ่ง และสวมรองเท้าข้างเดียว หลันไฉ่เหอ เป็นเด็กหนุ่มอารมณ์ดี มีบุคลิกอ่อนโยนเปี่ยมเมตตา (แต่ตำนานบางเล่มพูดถึงหลันไฉ่เหอในฐานะสตรีก็มี) ปกติจะเห็นหลันไฉ่เหอถือของวิเศษประจำตัวคือ “กระเช้าดอกไม้” (花篮) ภายในกระเช้าจะบรรจุเต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีสัน และเป็นดอกไม้วิเศษแห่งปัญญาที่ไม่มีวันเหี่ยวเฉา
ในตำนานหลายฉบับกล่าวว่า หลันไฉ่เหอเกิดในสมัยราชวงศ์ถัง (บ้างว่าในสมัยห้าราชวงศ์หรืออู่ไต้)
ปกติหลันไฉ่เหอมักจะชมชอบถือกรับไม้ยาว 3 ฉื่อ (ประมาณ 3 ฟุต) ร้องเพลงขับขานไปตามถนนหนทางหรือในตลาดอย่างสบายอารมณ์ แต่เขาไม่ใช่ขอทาน เพราะหากมีผู้ใดให้เงินมา เขาก็จะเอาไปมอบให้แก่คนยากไร้แทน เนื้อเพลงของหลันไฉ่เหอที่ร้องขับขานก็ไม่ใช่เพลงขอทานทั่วไป แต่เป็นเพลงที่มีคติสอนใจและเตือนใจผู้คนให้หมั่นทำความดี พฤติกรรมอื่น ๆ ก็ยิ่งไม่เหมือนใคร ในฤดูหนาวก็ชอบไปนอนกลางหิมะ ดังนั้น จึงยากจะมีใครเข้าใจในตัวเขา และยากจะหาร่องรอยเพื่อพบพานได้โดยง่าย เพราะหลันไฉ่เหอจะออกเดินทางไปเรื่อย ๆ ไปในทุกหนทุกแห่ง แผ่นดินอันกว้างใหญ่ก็คือบ้านของเขา
ว่ากันว่า มีอยู่วันหนึ่งเซียนทั้งสองคือ จงหลีเฉวียน(หั่งเจ็งลี้)และ หลี่เถียไกว่ (ลี้ทิไกว้)ได้มาพบกับ หลันไฉ่เหอ ภายหลังการพูดคุยเกิดถูกชะตาซึ่งกันและกัน ทั้งหมดจึงชวนกันไปบำเพ็ญเพียรในหุบเขา จนกระทั่งต่อมา หลันไฉ่เหอจึงสำเร็จกลายเป็นเซียนในที่สุด
ฟังตำนานจีน เทพเจ้าจีน โป๊ยเซียน
สำนวนจีน โป๊ยเซียนข้ามทะเลต่างแสดงอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหารย์ 八仙过海 各显神通