เหลยเจิ้นจื่อ เป็นหนึ่งในห้าขุนพลเทพในเรื่องห้องสิน เฟิงเสินเหยี่ยนอี้ หรือสถาปนาเทวดา โดยเหลยเจิ้นจื่อเป็นแม่ทัพซ้าย แม่ทัพทิศตะวันออก มีชื่อว่าทัพจิ่วอี้จวิน 东营九夷军 ใช้ธงเขียว ธาตุไม้เป็นสัญลักษณ์
ประวัติเหลยเจิ้นจื่อ
เหลยเจิ้นจื่อ เป็นบุตรบุญธรรมจีชาง เจ้าเมือง ซีฉี หรือโจวเหวินหวัง และ มีศักดิ์เป็นน้องชายของโจวอู่หวัง ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์โจว
ในตอนที่เหลยเจิ้นจื่อถือกำเนิด จีชาง เจ้าเมืองซีฉีมีรับสั่งจากพระเจ้าซางโจ้ว ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ซาง ให้ไปรายงานตัวที่ราชสำนักเมืองหลวงเฉาเกอ ระหว่างทางได้มีฝนตกห่าใหญ่ บริเวณเขานกนางแอ่น 燕山พายุทลายยอดเขาพังลงมา เมื่อฝนหยุด ท่านจีชางได้เห็นแสงสว่างตกลงมาจากท้องฟ้า ทำให้ท่านรู้ทันทีว่า มีดาวทหารลงมาจุติ เมื่อเดินไปตามหาจุดเกิดเหตุนั้นได้พบเด็กคนหนึ่งยืนร้องไห้ ท่านจึงอุ้มขึ้นมาและคิดรับเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมคนที่หนึ่งร้อยของตน
ต่อมานักพรตหยุนจงจื่อ อาศัยที่ถ้ำอวี้จู้ต้ง 玉柱洞 เขาจงหนานซาน 终南山 ได้เดินทางผ่านมา จึงขอรับเลี้ยงและรับ เป็นศิษย์ พร้อมกับตั้งชื่อเด็กว่า เหลยเจิ้นจื่อ พร้อมกับทำนายว่าท่านจะประสบเคราะห์กรรมระหว่างเดินทางไป
ฝ่ายจีชาง เดินทางต่อไปที่เมืองเฉาเกอ แล้วถูกพระเจ้าซางโจ้ว ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์โจว หาเรื่องสั่งให้ขังคุก เป็นเวลา 7 ปี เพราะจีชาง เป็นที่ยกย่องของเหล่าขุนนาง รวมทั้งเจ้าเมืองหัวเมืองใหญ่น้อยทั้งหลาย ว่าเป็นผู้ที่มีคุณธรรมและมีบารมีมาก
เมื่อครบกำหนด 7 ปีบุตรชายคนหัวปี คือ ปัวอี้เข่า 伯邑考 เดินทางมาเยี่ยม บิดา พร้อม ทั้งนำของมี ค่ามาถวาย พระเจ้าซางโจ้ว แต่นางต๋าจี ผู้เป็นมเหสีองค์ใหม่ หาเรื่อง จนต้องถูกประหารชีวิตแล้วเอา เนื้อของปัวอี้เข่า ใส่ในขนมเปี๊ยะให้ จีชางกิน จีชาง รู้แต่ทำ เป็นไม่รู้จึงกินขนมเปี๊ยะจนหมด เพื่อให้พระเจ้าซางโจ้ว ทรงคิดว่า จีชางไม่ได้มีสติปัญญาเหมือนดั่งที่คนเขาเล่าลือกัน จึงพระราชทานอภัยโทษแล้ว โปรดฯแต่งตั้งให้เป็น บุ๋นอ่อง หรือ เหวินหวาง แล้วให้ปกครองเมืองซีฉี ดังเดิม
ฝ่ายเหวินหวาง เมื่อได้รับการปล่อยตัว จึงรีบเดินทางออกจากเมืองเฉาเกอทันที แต่ไปไม่ถึงไหน เพราะพระเจ้าซางโจ้ว ทรงเปลี่ยนพระทัย รับสั่งให้ กองทหารรีบตามไปจับฆ่าเสีย เพราะกลัวจะเข้าทำนอง ปล่อยเสือเข้าป่า ปล่อยมังกรลงน้ำ ไหนเลยจะปราบได้
ฝ่ายเหวินหวางเดินทางมาถึงเพียงด่านแรกคือ ด่านตงกวน หนึ่งใน จำนวนห้าด่าน ก็ไม่สามารถผ่านไปได้ เพราะตนเองเพิ่งออกจากคุก ไม่มีอาวุธ หรือกำลังทหารเพียงพอจะฝ่าด่าน
ฝ่ายนักพรตหยุนจงจื่อ จับยาม ก็รู้ว่าจีชาง กำลังเจอเหตุการณ์คับขันจึงเรียกเหลยเจิ้นจื่อให้มาพบพร้อมกับ บอกเล่าเรื่องราวของจีชาง ให้เหลยเจิ้นจื่อทราบ
จากนั้นจึงสั่งให้เหลยเจิ้นจื่อ ไปหาหินรูปทรงแบนมาสักชิ้นหนึ่ง เพื่อจะทำอาวุธให้
ฝ่ายเหลยเจิ้นจื่อจึงเข้าป่าเดินไปตามลาดเนินเขา หาแผ่นหินดังกล่าว แต่บังเอิญเหลือบ ไปเห็นผลไม้สุกเปล่งปลั่งน่ากินจำนวน 2 ผลตน จึงปีนขึ้นไปเก็บ กะว่าจะกินสักผลหนึ่งอีกผลเอาไปฝากอาจารย์ เหลยเจิ้นจื่อจึงกินผลไม้เข้าไปปรากฏว่า รสชาติอร่อยมาก ดังนั้น จึงลืมความตั้งใจเดิมที่จะเอาไปฝากอาจารย์ จึงกินอีกผลหนึ่งจนหมด
แต่เมื่อกินผลไม้ทั้งสองผลหมดแล้ว เหลยเจิ้นจื่อ จึงรู้สึกตัวว่ามีปีกกำลังงอกออก มาทางไหล่ ทั้งสอง ข้างแถมจมูกก็ งอกยื่นยาวออกไป ผิวหน้าที่เคยเปล่งปลั่งเป็นสีชมพู ก็กลับกลายเป็นสีดำคล้ำ ตรงปากมีเขี้ยวงอกออกมายาว ส่วนลำตัวกลับสูงใหญ่ขึ้น ทั้ง ๆ ที่ตนเองมีอายุเพียง 7 ขวบ สีผมกลาย เป็นสีแดง แบบขนนก กลายร่างเป็นครึ่งนกครึ่งคน
เหลยเจิ้นจื่อตกใจ จึงรีบกลับไปหาอาจารย์
ฝ่ายอาจารย์ เห็นรูปร่างหน้าตาของเหลยเจิ้นจื่อ ก็พาไปสวนดอกไม้พร้อมกับมอบกระบองทองวิเศษให้อันหนึ่ง แล้วก็ทำการเสกคาถา รามสูรและลมฝน กำกับลงในตัวเขา พร้อมกับให้เหลยเจิ้นจื่อทดลองบินดู
เมื่อเห็นเหลยเจิ้นจื่อบินได้ นักพรตจึงให้เหลยเจิ้นจื่อ ไปช่วยจีชาง ผู้เป็นบิดา พร้อมกับสั่งว่า เมื่อไปช่วยบิดาจนพ้นด่านทั้งห้าแล้ว ให้รีบกลับมาเรียนวิชาเพิ่มเติม
เหลยเจิ้นจื่อ จึงบินไปด่านตงกวน เห็น จีชาง ผู้เป็นบิดากำลังขี่ม้าถึงด่านพอดี เมื่อแนะนำตัว รื้อฟื้นความหลัง จนจำกันได้แล้ว เหลยเจิ้นจื่อ จึงให้บิดา ขึ้นไหล่ขี่ข้ามด่านทั้งห้า ส่งถึงทางที่จะไปเมืองซีฉี 西岐 กีแล้วกลับไปเรียนวิชายุทธกับอาจารย์ต่อไป
เมื่อจีชางกลับไปถึงเมืองซีฉี ก็ได้เจียงจื่อหยามาช่วยงาน บริหารบ้านเมือง จนเมืองซีฉีขยายเขตแดนออกไป
ต่อมา 6 ปี จีชาง ได้สิ้นพระชมน์ จึฟา ได้รับหน้าที่ปกครองเมืองซีฉีต่อ
ฝ่ายทางราชวงศ์ซาง ที่เมืองหลวงเฉาเกอ เนื่องจากพระเจ้าซางโจ้ว หลงไหลนางต๋าจี ผู้เป็นมเหสีใหม่ ทำให้ไม่ออกว่าราชกิจ และปกครองบ้านเมืองด้วยความโหดร้าย ทรมานขุนนางด้วยวิธีการที่เหี้ยมโหด
ต่อมาเกิดสงครามระหว่างฝ่ายราชวงศ์ซาง และ เมืองซีฉี
ฝ่ายนักพรต หยุนจงจื่อ จึงให้เหลยเจิ้นจื่อเดินทางไปเมืองซีฉี เพื่อช่วยจีฟา พี่ชาย ทำศึกกับเมืองเฉาเกอ
ฝ่าย เหลยเจิ้นจื่อเข้ารบในสงครามหลายครั้ง
กองทัพทั้งสองฝ่าย ต่างรุกรบแพ้ชนะสลับกันไป ทำให้ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก ในท้ายที่สุดฝ่ายจีฟา รบชนะ ราชวงศ์ซางล่มสลาย จีฟา จึงได้ตั้งตนเองเองเป็นกษัตริย์ มีพระนามว่า โจวอู่หวัง ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์โจว
ส่วนพวกขุนพลนายทหาร และ พลเรือน ที่ทำศึกทั้งฝ่ายราชวงศ์ซาง และราชวงศ์โจวจำนวน 365 คน ได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นเทพเจ้า ดังที่มีชื่อประกาศอยู่ใน เฟิงเสินเหยี่ยนอี้ หรือ สถาปนาเทวดา
ฝ่ายเหลยเจิ้นจื่อ ไม่ขอรับรางวัลใด ๆ ถือว่ามาทำการรบตามคำสั่งของอาจารย์ หลังจากนั้นก็ลากลับไปยังสำนักตามเดิมเพื่อบำเพ็ญต่อ จนสำเร็จเป็นเซียน เมื่อขึ้นไปบนสวรรค์เง็กเซียนจึงแต่งตั้งให้ เหลยเจิ้นจื่อเป็นเทพอัศนีบาต ลงทัณฑ์ผู้กระทำผิด ผู้ก่อกรรมชั่วเกินกว่าจะให้อภัยได้ โดยการบันดาลให้ฟ้าผ่าลงที่คนนั้น